ข้าวดิบยังงอก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ไม่ไปวัดได้ไหม? ไม่ไปวัดได้หรือเปล่า? อยู่บ้านปฏิบัติได้หรือเปล่า? ได้ อยู่บ้านก็ปฏิบัติได้ แต่เวลาไปมันของจริงอยู่ ขณะที่ว่ามันพลิกได้เลย ใจมันเป็นปัจจุบันอยู่ แต่ถ้าฟังเทปก็เป็นอย่างนั้นล่ะ ฟังเทปก็ดีอยู่ แต่ฟังเทปนี่ เขาฟังเทปเพื่อจะกลั่นกรองก่อนว่าจริงหรือไม่จริง
ฉะนั้น เขาถึงฟังเทปก่อน ส่วนใหญ่จะฟังเทปแล้วไปหาตัว หาตัวก็เพราะนี่แหละ เพราะมันออกมาปัจจุบันไง เราคิดอะไร? เหมือนกับเป็นของสด มันแปรสภาพได้ไง อย่างเช่นผลไม้มันเสียได้ ถ้าเราไม่ทำให้มันดีขึ้น แต่ผลไม้ถ้ามันแก่ เราเก็บไว้ บ่มมันก็สุกขึ้นมา แต่ถ้าเป็นพลาสติก เทปมันพลาสติก มันก็เป็นพลาสติก เป็นของแห้งๆ แต่ฟังก็ยังดี ในเทปใช้ได้อยู่
เมื่อวานตอนเย็นมีคนมาหา เขาบอกมาหามาก หลายคนทางฝั่งนู้น ว่าเขาไปปฏิบัติ แล้วชาวบ้านเขาติเตียนว่าเป็นคนทุกข์ คนจน ทำไมต้องไปปฏิบัติ? เขาก็มาถามไง บอกคนทุกข์ คนจน เราบอกเลย คนจนผู้ยิ่งใหญ่ รวยหรือจนมันสำคัญที่หัวใจไหม? หัวใจถ้าเข้าถึงธรรม คนจนผู้ยิ่งใหญ่ เห็นไหม อาจารย์มหาบัวมีบริขาร ๘ แต่สามารถหาเงินช่วยไทยเป็นพันๆ ล้าน สมบัติส่วนตัวมีแค่บริขาร ๘ ไง มีผ้า ๓ ผืน มีบาตร มีธมกรก มีบริขาร ๘ จริงๆ เรื่องของส่วนตัวท่าน เพราะในวัดพระอุปัฏฐากอยู่จะเห็น นี่ยิ่งจนเข้าไปใหญ่เลย จนจนไม่มีสมบัติเป็นของตนเองเลย แต่ทำไมช่วยชาติได้
ทีนี้พอเขาว่าเราจนทำไมเราปฏิบัติไม่ได้? จน รวยเอาอะไรมาวัดค่า หัวใจที่มันเป็นธรรมมันมหาศาลนะ หัวใจที่เป็นธรรม หัวใจที่เข้าถึงสุข เห็นไหม หัวใจอันนี้ต่างหาก ไอ้เงินทองมันวัดค่าจนหรือรวยไง เพราะว่าชาวบ้านติว่าตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วทำไมไปปฏิบัติอยู่ แต่ถามแล้วไม่ใช่หรอก ถามแล้วว่าลูกเขาทำงานกันหมดแล้ว เพียงแต่เขาว่ากันไปเอง ชาวบ้านเขาว่าอย่างนั้น
เราบอกเลย วัดไม่ได้ รวยหรือจนเป็นคนเหมือนกัน มีหัวใจอยู่ ยังหายใจเข้า หายใจออกอยู่ คนๆ นั้นมีโอกาสประพฤติปฏิบัติทั้งหมด มันสำคัญที่หัวใจที่รับรู้ เวลาเราสุข เราทุกข์ เห็นไหม ใจเบิกบาน ใจเศร้าหมอง ใจของเรา จะรวยจะจนมันก็ทุกข์เหมือนกัน พระพุทธเจ้าสอนถึงแก้ทุกข์ ถ้าแก้ทุกข์ ถ้าคนรวยปฏิบัติก็เยี่ยม ยิ่งเขามีฐานะแล้วนะ เขายังคิดถึงธรรม เขาปฏิบัติ เขาลืมตา ๒ ตาไง ตาทางโลกก็ประสบความสำเร็จ เห็นไหม ว่าเราก็ยังประคองตัวไม่ได้ แต่ถ้ายังมีสมบัติเอาไว้ในตัวไป คือว่าเราสละออก
เราบอกเลย เมื่อวานนี้บอกว่า ลูกเลี้ยงพ่อแม่นะ หาสมบัติไว้ให้พ่อแม่ ให้พ่อแม่ได้กินได้ใช้ แล้วเวลาพ่อแม่ตายไปก็เคาะแต่โลง ถ้าลูกหาเงินให้พ่อแม่นะ เราให้พ่อแม่ได้อยู่อาศัยกับเรา แล้วยังเปิดใจพ่อแม่ ให้พ่อแม่ได้ทำบุญด้วยใจของพ่อแม่เอง เห็นไหม ทำบุญกุศล พ่อแม่อยู่กับเราก็มีความสุข ตายไปก็ยังขนความสุขนั้นติดหัวใจนั้นไป ขนความสุขติดหัวใจ
สมมุติว่าบ้านเรา ร่างกายของเราจะโดนไฟไหม้อยู่ เราขนของออกจากเรือนเท่าไหร่ เราจะได้ผลประโยชน์เท่านั้น กับว่าประสบความสำเร็จทางโลก แต่ไม่ได้เปิดตาใจ นี่ในชาติปัจจุบันนี้เราก็อุปัฏฐากอุปถัมภ์พ่อแม่ของเรา ตายไปก็ยังมีสมบัติในหัวใจไปอีก เห็นไหม ไปอีกชาติ ไปใช้ต่อไปข้างหน้า
นี่การสละมันสละออกอย่างนั้น แต่การสละออก ไม่ต้องสละออกแบบว่าไม่มีก็ต้องสละออก ไม่มีก็ทำได้ เห็นไหม อย่างเช่นภาวนานี่เอาอะไรมา? เอาหัวใจมา เอากายกับใจมา แล้วพอมันสงบลงมันข้ามสวรรค์ไปนู่นน่ะ จิตนี้สงบ จิตนี้ไปเกิดเป็นพรหม มันข้ามสวรรค์ มันเลยสวรรค์ไปอีก เราหวังแต่สวรรค์กัน แต่พอจิตมันสงบ นี่เอาหัวใจทำ แล้วหัวใจมันก็ซับในใจไป คือว่าใครจะติ ใครจะว่าอย่างไรเรื่องของเขา แต่ถ้าเราทำได้
เราทำได้จะมั่งมีศรีสุข ถ้ามาปฏิบัติอันนั้นประเสริฐ แต่ถ้าทุกข์จนเข็ญใจปฏิบัติ มันยิ่งประเสริฐใหญ่ เพราะอะไร? เพราะการบีบคั้นอันนั้นมันก็ทุกข์อยู่แล้ว มันเห็นทุกข์ได้ง่ายไง เห็นทุกข์ได้ง่าย มันทุกข์อยู่แล้ว แล้วมาปฏิบัติ ความกังวลมันมากกว่า เหตุผลที่จะต้องจำกัดในหัวใจมากกว่า มากกว่าคนที่พร้อมมา เราต้องมีอุปสรรคมากกว่าเขา แต่เวลาเราไปได้เราก็พ้นไปได้เหมือนกัน เอาหัวใจนี้พ้นได้สิ เราไปติดข้องกันตรงนั้น
เขาว่าเขาติดข้องมาก มีคนติเตียนเขามาก มากันเยอะ แก้หมด แก้ตั้งแต่จิตเริ่มเข้าไปสงบ ปวดหัวนะ จิตเข้าไปสงบจะหมุนเวียน จะโคลงเคลงไป เห็นไหม เป็นอย่างนั้นหมดเลย จนสุดท้ายอยากจะนั่งภาวนาที่นี่พักหนึ่ง เราบอกไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ดีกว่า แล้วพรุ่งนี้เขาจะไปวัดกัน เขาไปวัดนู้น อ๋อ ดีมากเลย วัดไหนก็ได้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ขอให้ทำ ให้หายใจเข้า หายใจออกนึกพุทโธไว้ หรือพุทโธตลอดเวลา
พุทโธ พุทโธไง พุทโธดึงใจ เอาใจเข้าเทียบ นี้เอากายมา เห็นไหม ไปวัด ไปวัดไปทำบุญ แต่หัวใจคิดถึงบ้าน อยู่ที่บ้าน อยู่ไหนก็แล้วแต่ แต่นึกพุทโธขึ้นมา นี่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ใจเลย จะอยู่ไหน อยู่ที่ไหนนะ วัดใจ ข้อวัตรคือวัดหัวใจ ถ้าหัวใจอยู่นั่น นึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ใหม่ๆ มันยังเข้าไม่ถึงก็ได้ชื่อก่อน ขนาดเราจะไปไหนเราต้องศึกษาแผนที่ก่อน ต้องเขียนแผนที่มา แล้วก็ถึงจะเดินทางไปหาจุดหมายปลายทาง
ไอ้นี่ก็นึกพุทโธก่อนก็ไปนึก ก็เหมือนแผนที่ นึกเอา แต่ก็มีแผนที่ กับคนที่ไม่ได้นึกเลย แผนที่เข้ามาถึงเราแล้ว เรามีแผนที่ แล้วพอพุทโธ พุทโธ พุทโธจนพุทโธกับใจเป็นอันเดียวกัน จนเป็นเนื้อพุทโธ จากตัวใจนั้นเป็นแผนที่เลย เป็นเป้าหมายเลย เข้าถึงพระพุทธเจ้าไง พุทธานุสติ พุทโธถึงเรา นึกเอาๆ นึกเอาจริงๆ ทำไมนึกเอาได้ล่ะ? ได้ นึกเอาก็ระลึกพุทโธ คำว่านึกเอา พอโลกบอกนึกเอาไม่ได้ นึกเอาได้ เพราะว่าหัวใจมันอยู่กับอารมณ์ อารมณ์เป็นความรู้สึก
ทีนี้ความรู้สึก มันรู้สึกเป็นธรรมดาของมันใช่ไหม? เรานึกเอา เราเปลี่ยนไง เปลี่ยนจากที่มันเคยคิดธรรมดา นึกเอาคือสติ สติก็ไปนึกเอาๆ นึกเอาด้วยความสงบ นึกก่อนๆ ระลึกอยู่ พุทโธ พุทโธ พุทโธ นึกเอา นึกเอาไม่ได้ เขาว่านึกเอาไม่ได้ ได้ ได้ความที่นึกเอาก่อน นึกให้มันเป็นไง บังคับ นึกเอาคือบังคับ บังคับให้มันลงที่พุทโธนี่ นึกเอา แล้วพอมันเป็นจริง พอมันขยับตัวไปอันนี้ไม่ใช่นึกเอา เป็นโดยธรรมชาติของมันไง เป็นเพราะจิตมันเสวยพุทโธ พุทโธ จนจิตเป็นพุทโธอันนั้นไม่ใช่นึก
แต่เริ่มต้นจากนึกเอาก่อน นึกเอาเป็นปาก เป็นทาง เป็นบากทางเข้าไป ถ้าไม่นึกเอาเลย ไม่มีการเริ่มต้นเลย เห็นไหม เวลาเห็นข้าวดิบนะไม่อยาก อยากจะกินข้าวสุก แต่ไม่มีข้าวดิบ เอาข้าวสุกมาจากไหน? ข้าวมันดิบมาก่อน มาใส่หม้อ ใส่ไห มาต้ม มาแกง มันก็สุกขึ้นมา หัวใจถ้าไม่นึกเอา ไม่เริ่มต้นจะเอามาจากไหน? จะเอาข้าวสุกมาเลย เอามาจากไหน? ข้าวสุกน่ะ ข้าวมันต้องมาจากข้าวดิบก่อน จนเมล็ดข้าว ข้าวเปลือกลงนาก่อน ไปจนนู่นเลย
นี่ก็เหมือนกัน เกิดมาเหมือนข้าวเปลือกลงนา เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วพอเป็นข้าวเปลือก พอข้าวนั้นลงไปก็งอกงามขึ้นมาเป็นข้าวเปลือก ข้าวเปลือกก็ต้องมาสีทำให้มันเป็นข้าวสุก แต่นี้เราไม่สุก เราทำใจเราสุกไม่ได้ ใจเราดิบ ใจเราดิบมันไม่เข้าถึงความสุข ถ้าใจเราสุกขึ้นมา ใจสุกขึ้นมามันก็พ้นจากการเกิดการตาย นี่ใจมันสุกขึ้นมา เราพบพุทธศาสนา นี่ใจมันดิบมาก่อน ข้าวมันดิบมาก่อน เราก็ต้องมาทำให้สุก ทำให้สุกด้วยไฟแผดเผาตบะธรรม เผาขึ้นมาให้ใจมันสุก ต้มขึ้นมา เอาความร้อนต้มขึ้นมา นี่ตบะธรรม
ตบะธรรมมันก็ต้องความร้อนเข้าไป มันนึกว่าร้อนมันก็กลัวสิ นึกว่าร้อนไม่อยากทำ ลำบากลำบนไง นู่นก็ลำบาก นี่ก็ลำบาก ไม่อยากทำ แต่พอทำไปๆ พอมันสุกขึ้นมา มันเป็นความลำบากลำบนที่ไหน? เห็นคุณค่าเลย คุณค่าที่ว่าจากข้าวดิบมันตกลงที่ไหนไม่ได้ ต้องระวังตัวนะ เพราะมันตกลงดินมันจะงอก ข้าวมันยังไม่สุกไง แต่ถ้าข้าวมันสุกแล้วมันไม่ต้องระวังตัว จะตกลงที่ไหนก็ได้ จะวางไว้ที่ไหนก็ไม่มีงอก ไม่งอกอีก
มันสุกตรงนี้ต่างหากล่ะ ตรงที่ไม่ต้องระวังใจอีกแล้ว นี้ต้องระวังไหม? เดี๋ยวจะคิดนู่น คิดนี่ เดี๋ยวจะมีความทุกข์เข้ามา จากใจที่มันสุกแล้ว ไม่มีเชื้อเข้าไปถึงมันได้ ถึงว่าปฏิบัติทีแรกมันจะว่ายากไง การปฏิบัติ การเข้าไปหาพระหาเจ้า ฟังธรรม อะไรก็ว่าอย่าทำๆ อยู่ที่บ้านแสนจะสบาย ทำอะไรก็ได้ตามสะดวก ไปนู่นก็ห้าม นี่ก็ห้าม ห้ามก่อนสิ มันลงดินแล้วมันจะงอก ห้ามตกดินไง มันงอกลงไป เห็นไหม เวลามันทุกข์มันงอกไปเรื่อย
นี่พอเราบังคับตัวเอง เรารักษาข้าวของเราไม่ให้งอก ถ้ารักษาข้าวของเราไม่ให้งอก มันจะเป็นประโยชน์กับใครล่ะ? เป็นประโยชน์กับเราสิ ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เราก็ต้องบังคับใช่ไหม? เราบังคับ เราเอาใจเรา ข้าวนี้มันเดินได้ไง เราเดินได้ ความคิดมันเคลื่อนไปได้ นี่ข้าว ทีนี้ไม่ให้มันงอก ไม่ให้มันลงที่ดิน ไม่ให้ลงที่ดินเราก็ต้องภาวนาก่อน นี่ภาวนาก่อน เอาตบะธรรมเข้ามา พุทโธ พุทโธ พุทโธก่อน พุทโธเข้ามาก่อน วิปัสสนาจนกว่ามันจะสุกไปเอง สุก ถึงว่านึกเอา
ใหม่ๆ ว่าขั้นนี้นึกเอาไม่ได้ แต่ขั้นจะเข้ามานึกเอาได้ ต้องนึกก่อนเลย นึกพุทโธ พุทโธเข้ามาก่อน ถ้านึกเข้ามามันก็เริ่มเข้ามา พอเข้ามาแล้วถึงจะรู้ผิดรู้ถูกเข้ามา ขยับเข้ามา ขยับเข้ามา นึกก็ไม่ได้ นู่นก็ไม่ได้ ใหม่ๆ ใครมาถามบอกว่าต้องนึก แต่พอไปแล้วนึกผิดไหม? ผิด อ้าว ก็เป็นวุฒิภาวะของใจต้องเจริญขึ้นสิ จากปุถุชนคนที่ไม่เอาอะไรเลย มันไม่ทำอะไรเลย...
(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)